หน้าหลัก พระสงฆ์ ตำแหน่งเอตทัคคะ พระรัฐบาลเถระ
Search:

“ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ ...
สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ
..ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ ผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรอัญชลีกรรม เป็นนาบุญของโลก

หนังสือ พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์
รองศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม

หน้าแรก : หมวดพระสงฆ์
๓๗. พระรัฐบาลเถระ เอตทัคคะในทางผู้บวชด้วยศรัทธา

พระรัฐบาล เป็นบุตรของเศรษฐี ผู้ชื่อว่ารัฐบาลเหมือนกัน และรัฐบาลเศรษฐีผู้เป็นบิดา ของท่าน เป็นหัวหน้าหมู่บ้านถุลลโกฏฐิตนิคม ในแคว้นกุรุ

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปสู่แคว้นกุรุ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ สาวกเป็น บริวาร ประทับอยู่ที่ถุลลโฏฐิตนิคมนั้น ขณะนั้น ชาวบ้าน ซึ่งประกอบด้วยพราหมณ์ และคฤหบดี จำนวนมาก ได้ทราบข่าวการเสด็จมา ก็พากันไปเฝ้าพระบรมศาสดา และมีชายหนุ่มชื่อรัฐบาลไป ด้วย ได้ถวายบังคม แล้วนั่งในที่อันสมควรแก่ตน ส่วนบรรดาชนอื่น ๆ เหล่านั้น บางพวกถวาย บังคม บางพวกได้แต่พูดจาปราศรัย บางพวกเพียงแต่ประนมมือไหว้ และบางพวกก็ประกาศชื่อ โคตรของตน

พระพุทธองค์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนา โปรดชาวบ้านทั้งหลายเหล่านั้น ให้เกิด ความเลื่อมใสทั่วกัน ครั้นจบพระธรรมเทศนา ประชาชนทั้งหลาย พากันกราบทูลลากลับสู่บ้าน ของตน ๆ ส่วนนายรัฐบาลนั้น เกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า เมื่อประชาชนกลับกันหมดแล้ว จึงได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลขออุปสมบท แต่พระพุทธองค์รับสั่งให้กลับไปขออนุญาต จากบิดามารดาก่อน

บวชด้วยศรัทธาแรงกล้า
นายรัฐบาล เมื่อได้ฟังพุทธดำรัสแล้ว รีบกลับไปบ้าน แล้วเข้าไปหาบิดามารดา กล่าวขอ อนุญาตบวช แต่ไม่ได้รับอนุญาต จึงเกิดความผิดหวังเสียใจ ไม่ยอมรับประทานอาหาร บอกกับบิดา มารดาว่า “ถ้าไม่ได้บวชก็จะขอยอมตาย” บิดามารดาเห็นลูกชายทำจริง ก็เกรงว่าลูกชายจะตาย จึงได้ไปขอร้องเพื่อนสนิทของลูกชาย ให้มาช่วยพูดอ้อนวอน เพื่อให้เลิกล้มความตั้งใจ แต่ก็ไม่เป็น ผล ในที่สุดก็ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนของลูกชายว่า “ถ้าไม่ยอมให้ลูกชายบวช ลูกอาจจะตาย จริง ๆ แต่ถ้าลูกได้บวช เราก็ยังจะได้เห็นลูกบ้าง ในบางโอกาส หรือเมื่อลูกบวชแล้ว ได้รับความ ลำบากเบื่อหน่าย ก็จะสึกออกมาภายหลังก็ได้”

เมื่อได้รับคำแนะนำดังนี้แล้ว ก็เห็นดีด้วย จึงบอกแก่ลูกชายว่า “พ่อแม่อนุญาตแล้ว ขอ ให้เจ้าบวชได้ตามความปรารถนาเถิด”

นายรัฐบาล ดีใจมากรีบลุกขึ้นอาบน้ำ และรับประทานอาหาร มีเรี่ยวแรงดีแล้ว ไปเข้าเฝ้า พระผู้มีพระภาค กราบทูลให้ทราบว่า ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาแล้ว พระพุทธองค์ประทาน การอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนาตามประสงค์

ครั้นบวชแล้ว ท่านเศรษฐีผู้เป็นบิดารู้สึกเศร้าโศก เสียดายลูกชาย และรู้สึกโกรธเคืองพระ ภิกษุสงฆ์ ต้นเหตุให้เสียลูกชาย ยามใดได้พบพระภิกษุสงฆ์ จะต้องตัดพ้อ ต่อว่า ด้วยคำว่า “เราไม่ ต้องการที่จะพบเห็นพวกท่านเลย เพราะเรามีลูกชายอยู่คนเดียวเท่านั้น พวกท่านก็มาพาเอาไป บวชเสียอีก ทำให้ตระกูลของเราต้องขาดทายาทสืบตระกูล”

บิดามารดาอ้อนวอนให้สึก
พระรัฐบาล เมื่อบวชแล้ว ได้ติดตามเสด็จพระบรมศาสดา ไปที่เมืองสาวัตถี ทำความ เพียรเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยความไม่ประมาท ชั่วระยะเวลาไม่นานก็ได้สำเร็จพระ อรหัตผล เป็นพระอริยบุคคล สิ้นกิเลสาสวะทั้งปวง จากนั้นท่านได้กราบทูลลาพระบรมศาสดา ไปสู่ถุลลโกฏฐิตนิคม อันเป็นตำบลบ้านเกิดของท่าน ได้เข้าไปพักที่สวนมิคจิรวัน อันเป็นพระ ราชอุทยานของพระเจ้าโกรัพยะ

พอรุ่งเช้าได้เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน แต่ไม่มีผู้ใด ใส่บาตรแก่ท่านเลย ท่านเดินไปเรื่อย ๆ ตามลำดับจนมาถึงบ้านบิดามารดาของท่านเอง ท่านเห็นนางทาสี เดินถือถาดขนมบูดออกมา จึงถามว่า
“จะนำไปไหน ?”
นางทาสีตอบว่า “จะนำขนมบูดไปทิ้ง”
ท่านจึงบอก “ให้ทิ้งลงในบาตรของท่าน”

นางทาสีจำท่านได้ จึงรีบกลับไปบอกเศรษฐี บิดามารดาของท่าน พอได้ทราบก็ดีใจสุด ประมาณ รีบออกจากบ้าน ติดตามไปพบท่าน นั่งพิงฝาเรือนคนอื่นกำลังฉันภัตตาหาร คือขนมบูด อยู่ จึงนิมนต์ให้ท่าน ไปฉันในบ้าน ท่านตอบว่า “วันนี้ฉันแล้ว” จึงนิมนต์ให้ท่านไปฉันในวัน รุ่งขึ้น และท่านรับนิมนต์

ครั้นวันรุ่งขึ้น ท่านเข้าไปฉันภัตตาหาร ในบ้านของเศรษฐี บิดามารดาได้ถวายอาหารอัน ประณีตแก่ท่านแล้ว นำทรัพย์สมบัติของมีค่า ออกมาแสดงให้ท่านเห็นแล้ว ช่วยกันพูดอ้อนวอน ให้ท่านสึก ออกมาครอบครองทรัพย์สมบัติเหล่านี้ แต่ท่านก็ปฏิเสธอย่างไม่มีอาลัย เมื่อฉันเสร็จ แล้วก็กล่าวอนุโมทนา และกลับสู่สวนมิคจิรวันที่พักตามเดิม

แสดงธรรมมุทเทศ ๔ ประการแด่พระเจ้าโกรัพยะ
วันหนึ่งพระเจ้าโกรัพยะ เสด็จประพาสราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นพระรัฐบาลแล้ว ทรงจำได้ เพราะเคยรู้จักท่าน และตระกูลของท่านเป็นอย่างดีมาก่อน จึงเสด็จเข้าไปหาทักทาย สนทนาด้วยแล้วประทับนั่ง ณ ที่อันสมควร พลางตรัสถามว่า:-
“ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้จริญ ความเสื่อม ๔ ประการ ที่บุคคลบางพวกประสบเข้าแล้ว จึงออก บวช ได้แก่:-
๑. ความแก่ชรา
๒. ความเจ็บป่วย
๓. ความสิ้นโภคทรัพย์
๔. ความสิ้นญาติพี่น้อง
ก็ความเสื่อมทั้ง ๔ ประการเหล่านี้ ไม่มีแก่ท่านเลย ท่านได้ฟัง ได้รู้ ได้เห็น หรือมีความ จำเป็นอย่างไรจึงออกบวช ?”

พระรัฐบาลเถระ ได้ถวายพระพรว่า:-
มหาบพิตร อาตมาได้ฟังธรรมมุทเทศ ๔ ประการ จากพระบรมศาสดาจึงออกบวช ธรรมุทเทศ ๔ ประการนั้น คือ :-
๑. โลกคือหมู่สัตว์ อันชราเป็นผู้นำ นำเข้าไปใกล้ไม่ยั่งยืน
๒. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน
๓. โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละสิ่งทั้งปวงไป
๔. โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา

พระเจ้าโกรัพยะ ได้สดับพระธรรมเทศนา ชื่อธรรมุทเทศ ของพระบรมศาสนาที่ พระรัฐบาลแสดงให้พระองค์สดับแล้ว เกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงตรัสสรรเสริญว่า “พระธรรม เทศนานี่น่าอัศจรรย์” และตรัสอนุโมทนาแล้ว เสด็จกลับสู่พระราชนิเวศน์

ได้รับยกย่องในตำแหน่งเอตทัคคะ
พระรัฐบาลนั้น นับว่าท่านเป็นพุทธสาวก ที่บวชด้วยศรัทธาอย่างจริงใจ ถึงกับบอกแก่ บิดามารดาว่า “ขอยอมตายถ้าไม่ได้บวช” จนกระทั่งบิดามารดาต้องยินยอม เพราะเหตุนี้ พระบรมศาสดา จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้บวชศรัทธา

ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยเหลือกิจการพระศาสนาควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม :
- ประวัติพระรัฐบาลเถระ หนึ่งในอสีติมหาสาวก (พระมหาสาวก ๘๐)


ย้อนกลับ ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
และ http://www.84000.org

ฟังธรรมะบรรยาย
(มากกว่า ๔,๐๐๐ ไฟล์)

อ่านพระไตรปิฎก
(คัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนา)
อ่านหนังสือธรรมะออนไลน์
(โดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง)
วิธีปฏิบัติธรรม
(ธรรมะภาคปฏิบัติ)
 

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
     จุดหมายสูงสุด ของพระพุทธศาสนา พึงบรรลุได้ด้วยความสุขหรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์
      ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ติดใจหลงไหลในความสุขที่เกิดขึ้นแก่ตน ไม่ปล่อยให้ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น ครอบงำ
        จิตใจของตน ยังมีจิตใจเป็นอิสระ สามารถก้าวหน้าไปในธรรมเบื้องสูง ต่อๆ ไป จนบรรลุความเป็นอิสระ
        หลุดพ้นโดยบริบูรณ์
      ซึ่งเมื่อบรรลุจุดหมายนั้นแล้ว ก็สามารถเสวยความสุขที่เคยเสวยมาแล้ว โดยที่ความสุขนั้น ไม่มีโอกาส
        ครอบงำจิตใจ ทำให้ติดพันหลงไหลได้เลย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป
     พุทธศาสนาคือวิชาและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งปวง มีสภาพตามที่เป็นจริง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวหรือของตัว ; แต่สัตว์ทั้งหลายยังหลงรัก หลงยึดติดสิ่งทั้งปวง เพราะอำนาจของการยึดมั่นที่ผิด ในพุทธศาสนามีวิธี ปฏิบัติเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ตัดการติดการยึดมั่นนั้นเสีย อุปาทาน การยึดมั่นนั้นมีสิ่งที่ลงเกาะหรือจับยึด คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
      เมื่อรู้จักขันธ์ทั้งห้า ตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งทั้งปวงจนถึงกับเบื่อหน่ายคลายความอยาก ไม่ยึดอะไร ติดอะไร และเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่า "เป็นอยู่ชอบ" คือให้ วันคืนเต็มไปด้วยความปีติ ปราโมทย์ อันเกิดมาจากการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดความเห็นแจ้งได้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย ความคลายออก ความหลุดพ้น และนิพพานได้ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม
      ถ้าเราจะรีบเร่งทำให้ได้ผลเร็วขึ้น ก็มีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ เริ่มตั้งแต่มี ความประพฤติบริสุทธิ์ มีใจบริสุทธิ์ มีความเห็นบริสุทธิ์ เรื่อยขึ้นไปจนถึงมีปัญญา คือความเห็นแจ้งบริสุทธิ์ ในที่สุดก็จะตัดกิเลสที่ผูกมัดคนให้ติดอยู่กับวิสัยโลกออกเสียได้ เรียกว่า การบรรลุมรรคผล
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คู่มือมนุษย์



สงวนลิขสิทธิ์โดย ธรรมะพีเดีย.คอม
เว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา โดยไม่มุ่งหวังผลทางพาณิชย์
อนุญาตให้นำไปเผยแผ่เพื่อสืบต่อพุทธศาสนาได้ตามกุศลเจตนา

www.thammapedia.com
( ศูนย์เผยแผ่พระพุทธธรรม )
Copyright © 2008 ALL RIGHTS RESERVED
 
 
หน้าหลัก