หน้าหลัก พระสงฆ์ ตำแหน่งเอตทัคคะ ชีวกโกมารภัจ
Search:

“ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ ...
สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ
..ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ ผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรอัญชลีกรรม เป็นนาบุญของโลก

หนังสือ พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์
รองศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม

หน้าแรก : หมวดพระสงฆ์
๙. ชีวกโกมารภัจ หมอประจำองค์พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ เอตทัคคะในฝ่ายผู้เลื่อมใสในบุคคล

ชีวกโกมารภัจ เป็นลูกของนางสาลวดี ซึ่งเป็นหญิงโสเภณีในเมืองราชคฤห์ ธรรมดา หญิงโสเภณีจะไม่เลี้ยงลูกชาย เพราะช่วยสืบสายอาชีพไม่ได้ ดังนั้น เมื่อนางคลอดลูกออกมา แล้วรู้ว่าเป็นเพศชาย จึงให้สาวใช้นำลูกชายใส่กระด้งไปวางไว้ที่กองขยะ

จากกองขยะมาเป็นลูกเจ้า
บ่ายวันนั้น อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร เสด็จประพาสพระนคร ผ่านมาทางนั้น เห็นฝูงนกการุมล้อมเด็กทารกอยู่ ตรัสสั่งให้นายสารถีไปดู ว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่ หรือเปล่า เมื่อนายสารถีกลับมากราบทูลว่า ยังมีชีวิตอยู่ จึงรับสั่งให้อุ้มมาแล้ว นำเข้าไปมอบให้ นางนมเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ภายในประราชนิเวศแล้ว ตั้งชื่อให้ว่า “ชีวก” ซึ่งมาจากคำว่า “ชีวิต” คือรอดชีวิตมาได้

เมื่อเจริญวัยขึ้นมา ได้ประทานนามเพิ่มเติมว่า “โกมารภัจ” ซึ่งหมายถึง เป็นบุตรบุญธรรมของพระราชกุมาร ทรงชุบเลี้ยงดูโอรสแท้ ๆ ของพระองค์ แม้พระเจ้าพิมพิสาร ก็โปรดปรานประดุจหลานของพระองค์ และประชาชนทั่วไป ก็เข้าใจว่าเป็นโอรสที่แท้จริง ของอภัยราชกุมาร

หนีจากวังหาสำนักศึกษา
เมื่อชีวกโกมารภัจ เจริญเติบโตเข้าสู่วัยเรียน และทราบว่าตนเป็นเด็กกำพร้า จึงต้องการ ที่จะศึกษาวิชาความรู้ เพื่อประกอบอาชีพในอนาคต อาชีพที่เขาชอบ คือหมอรักษาโรค เพื่อช่วย เหลือชีวิตมนุษย์ ดังนั้น เขาได้หนีออกจากวัง เดินทางไปกับกองเกวียนพ่อค้า จนถึงเมืองตัก สิลา แล้วให้พ่อค้าที่เขาอาศัยมานั้น ช่วยพาไปฝากอาจารย์ทิศาปาโมกข์ คือ พระฤาษีโรคาพฤกษตริญญา ผู้เป็นเจ้าสำนัก

ชีวกได้มอบหมายถวายตัวเป็นศิษย์รับใช้ ทำงานทุกอย่างในสำนักอาจารย์ เพื่อแลกกับวิชาความรู้ เพราะตนไม่มีทรัพย์สินเป็นค่าเรียน เขาศึกษาอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำให้เรียนได้เร็วกว่าศิษย์คนอื่น ๆ และสำเร็จจบหลักสูตรใน ๗ ปี ซึ่งปกติคนอื่น จะเรียนถึง ๑๖ ปี แม้จบหลักสูตรแล้ว ก็ยังมีความสงสัยในความรู้ของตนเอง ว่าอาจจะไม่ สมบูรณ์ จึงเข้าไปปรึกษาอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ได้สั่งให้เขา ออกไปหาต้นไม้ใบหญ้าหรือพืชชนิด ใดชนิดหนึ่งก็ได้ ที่เห็นว่าใช้ทำยาไม่ได้ มาให้อาจารย์ เขาได้ใช้เวลาหลายวัน เข้าไปในป่ารอบ ๆ เมืองตักสิลา ค้นหาจนทั่วก็ไม่พบใบหญ้า หรือพืชสักชนิดเดียวที่ใช้ทำยาไม่ได้ จึงรู้สึกผิดหวัง กลัวอาจารย์จะตำหนิ แต่พอแจ้งแก่อาจารย์แล้ว อาจารย์กลับยิ้มอย่างพอใจและกล่าวว่า “เธอ เรียนจบแล้ว ออกไปประกอบอาชีพรักษาคนไข้ได้แล้ว”

ชีวกโกมารภัจได้เรียนวิชาแพทย์พิเศษ
ชีวกโกมารภัจ เป็นศิษย์ที่มีอัธยาศัยดี มีความเคารพนับถือ เชื่อฟังอยู่ในโอวาทของ อาจารย์ มีความกตัญญูกตเวที มีศีลธรรม และอัธยาศัยความสุขุม ละเอียดเยือกเย็น สุภาพเรียบ ร้อยไม่พลาดพลั้ง อีกทั้งเชาว์ปัญญาก็ดีเยี่ยม จึงเป็นที่รักของอาจารย์ ท่านอาจารย์จึงเมตตาสอน วิชาแพทย์พิเศษให้อีกแขนงหนึ่ง ซึ่งอาจารย์จะไม่ค่อยสอนให้แก่ใคร ๆ คือ วิชาประสมยา ปรุง ยาขนานเอก พร้อมทั้ง วิธีการรักษาโรคให้ด้วย ยาขนานนี้พิเศษจริง ๆ สามารถรักษาโรคได้ทุก ชนิด และวางยาครั้งเดียว ไม่ต้องซ้ำ ยกเว้นโรคที่เกิดจากผลกรรม รักษาไม่ได้ เมื่อศึกษาจบครบ วิชาการ ที่อาจารย์ประสิทธิ์ประสาทให้แล้ว ได้ลาอาจารย์กลับสู่บ้านเมืองของตน

คนไข้คนแรกของชีวกโกมารภัจ
หมอชีวกโกมารภัจ ออกเดินทางจากเมืองตักสิลา มุ่งสู่กรุงราชคฤห์ พักผ่อนรอนแรม ในระหว่างทาง เสบียงที่อาจารย์มอบหมายก็ใกล้หมด จึงเที่ยวหารักษาใช้ พอดีภริยาเศรษฐีใน เมืองสาเกต เป็นโรคปวดศีรษะมาเป็นเวลาประมาณ ๗ ปี พยายามรักษาสิ้นทรัพย์จำนวนมาก ก็ ไม่หาย หมดอาลัยในชีวิตจึงปล่อยไปตามกรรม

เมื่อหมอชีวกโกมารภัจ ทราบจึงเข้าไปอาสารักษาให้ ทั้งคนไข้ และเศรษฐีเห็นหมอยัง หนุ่มอยู่ ไม่เชื่อความสามารถ จึงบอกปัด ไม่ยอมให้รักษา เพราะเกรงว่าจะเสียค่ารักษาเปล่า ๆ ไม่ได้ประโยชน์ แต่หมอชีวกโกมารภัจ บอกจะรักษาให้ก่อน เมื่อหายแล้ว จึงจะรับค่ารักษา

ดังนั้น เศรษฐี และภริยาจึงตอบตกลงยอมให้รักษา หมอชีวกโกมารภัจ ประกอบยาให้นัตถุ์เข้าทาง จมูก ฤทธิ์ยาทำให้คนไข้อาเจียน ออกมาทางปาก หลังจากนั้น โรคของนางก็หายเป็นปกติ เขาได้ รับค่ารักษา และรางวัลมาถึง ๑๖๐๐๐ กหาปณะ แล้วเดินทางต่อไปจนถึงกรุงราชคฤห์

เมื่อถึงแล้ว หมอชีวกโกมารภัจ ได้เข้าเฝ้าพระบิดาอภัยราชกุมาร กราบทูลขออภัยโทษ ที่หนีไปโดยมิได้ทูลลา ทูลเล่าเรื่องการศึกษาวิชาแพทย์ ตั้งแต่ต้นจนจบ ตลอดจนการเดินทาง กลับ แล้วได้ถวายเงินรางวัล ที่ได้รับระหว่างทาง แก่พระบิดา พระอภัยราชกุมารทรงปลาบปลื้ม พระทัย คืนทรัพย์สินที่ถวายให้ กลับคืนเพื่อเป็นทุนใช้สอย

ประวัติการรักษาโรคครั้งสำคัญ
เมื่อหมอชีวกโกมารภัจ เดินทางถึง กรุงราชคฤห์แล้ว ได้รับรักษาโรคต่าง ๆ จนมีชื่อ เสียงปรากฏเลื่องลือ ทั่วทั้งกรุงราชคฤห์ และแคว้นอื่น ๆ

การรักษาโรครั้งสำคัญของหมอชีวก คือ
๑. รักษาโรคริดสีดวงทวาร ให้พระเจ้าพิมพิสาร จนหายสนิท ทำให้พระองค์สบาย พระวรกายขึ้น ได้พระราชทานรางวัลเป็นอันมาก ทั้งทรัพย์สินเงินทอง ข้าทาสบริวาร และที่ดิน แต่หมอชีวก ขอรับเพียงอย่างเดียว คือสวนมะม่วง จากนั้น พระเจ้าพิมพิสาร ทรงแต่งตั้งให้เป็น แพทย์หลวงประจำพระองค์

๒. ผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ เศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ ซึ่งป่วยปวดศีรษะมานานเกือบ ๑๐ ปี
๓. ผ่าตัดโรคฝีในลำไส้ ให้ลูกชายเศรษฐี ในเมืองพาราณสี
๔. รักษาอาการประชวร ด้วยโรควัณโรคปอด ให้พระเจ้าจัณฑปัชโชต แห่งกรุงอุชเชนี แคว้นอวันตี

ในการรักษาให้พระเจ้าจัณฑปัชโชตนั้น หมอชีวก เกือบถูกประหารชีวิต เนื่องจากพระ องค์ท่าน มีพระอัธยาศัยโหดร้าย สั่งประหารคนง่าย ๆ โดยไม่มีเหตุผล และพระองค์เกลียดกลิ่น เนยใสเป็นที่สุด บังเอิญยาที่จะรักษานั้น ก็มีส่วนผสมเนยใสอยู่ด้วย ทำให้หมอชีวกหนักใจมาก จึงวางแผน เตรียมก่อนที่จะถวายการรักษา ได้กราบทูล ขอพระราชทานช้างชื่อภัททวดี ซึ่งมีฝี เท้าเร็ว และประตูเมืองหนึ่งประตู โดยอ้างว่าเพื่อสะดวก ในการออกไปเที่ยวหาตัวยาสมุนไพร ซึ่งบางชนิดต้องเก็บในเวลากลางคืน บางชนิดต้องเก็บในเวลากลางวัน การรักษาจึงจะได้ผล

หลอกให้พระเจ้าจุณฑปัชโชต เสวยเนยใส
หมอชีวก ได้ผสมยาโดยเคี่ยวใส่เนยใส บนเตาไฟจนสี รส และ กลิ่นเปลี่ยนไป เสร็จแล้ว นำเข้าไปถวายพระราชากราบทูลว่า เป็นโอสถสูตรใหม่ มิได้ผสมเนยใส เมื่อพระราชาเสวยแล้ว กราบทูลลากลับ เพื่อขอไปจัดโอสถมาถวายอีก พอออกมาพ้นพระราชนิเวศน์แล้ว รีบตรงไปยังโรงช้าง แจ้งแก่พนักงานดูแลช้างว่า ขอช้างพังชื่อภัททวดี เพื่อรีบไปเก็บตัวยา เมื่อขึ้นหลังช้างแล้ว รีบออกจากกรุงอุชเชนี ทันที

พระโอสถที่พระจ้าจัณฑปัชโชตเสวยแล้ว ก็ละลายกระจายรสและกลิ่นออกมา ทำให้ พระเจ้าจัณฑปัชโชต ได้กลิ่นเนยใส จึงกริ้วขึ้นมาทันที รับสั่งให้ทหารรีบไปจับตัวหมอชีวกมา โดยเร็ว เมื่อทรงทราบว่าหนีออกจากเมืองไปแล้ว รับสั่งให้ทหารนำพาหนะ ที่มีฝีม้าเร็วติดตาม จับตัวมาให้ได้ และทหารผู้นั้น ก็ได้ติดตามไปทับ ณ หมู่บ้านตำบลหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามที่หมอชี วกได้คาการณ์ไว้แล้ว จึงเตรียมยาระบายอย่างแรง ซ่อนไว้ในเล็บ เมื่อนายทหารผู้นั้น จะเข้ามาจับ กุม จึงถูกหมอชีวก หลอกให้กินยาระบาย จนถ่ายท้องหมดเรี่ยวแรง ปล่อยให้หมอชีวกหนีต่อไปได้

ฝ่ายพระเจ้าจัณฑปัชโชต เมื่อพระโอสถออกฤทธิ์แล้ว พระอาการประชวรก็หายเป็น ปกติ พระวรกายโปร่งเบาสบาย รู้สึกขอบใจหมอชีวก แม้ทหารที่ติดตามไป จับตัวหมอชีวก แล้วถูกหลอกให้กินยาระบายจับตัวไม่ได้ กลับมารายงานแล้ว พระราชาก็มิได้กริ้วโกรธ แต่ ประการใด รับสั่งให้จัดส่งของมีค่าหลายประการ รวมทั้งผ้าเนื้อดีจากแคว้นกาสี อันเป็นที่นิยม กันว่าเป็นผ้าดี ฝีมือการเย็บ การทอยอดเยี่ยมกว่าผ้าเมืองอื่น ๆ ให้ทูตนำไปมอบให้แก่หมอชีวก โกมารภัจ ที่กรุงราชคฤห์ หมอชีวกรับของรางวัลมาแล้ว พิจารณาเห็นว่า เป็นผ้าเนื้อดีไม่สมควร ที่ตนจะใช้สอย เป็นของสมควรแก่พระบรมศาสดา หรือพระมหากษัตริย์ จึงได้เก็บรักษาไว้เพื่อ นำไปถวายพระบรมศาสดาต่อไป

แพทย์ประจำองค์พระศาสดาและภิกษุสงฆ์
พระเจ้าพิมพิสาร นอกจากจะแต่งตั้งให้หมอชีวกโกมารภัจ เป็นแพทย์ประจำพระองค์ แล้ว ยังมอบให้รับหน้าที่ เป็นแพทย์ประจำองค์พระศาสดา และภิกษุสงฆ์ทั้งหลายอีกด้วย

หมอชีวกโกมารภัจ ได้เคยถวายการรักษา ให้พระบรมศาสดาครั้งสำคัญ ๒ ครั้ง คือ
ครั้งแรก ได้ปรุงยาระบายชนิดพิเศษถวาย เพื่อระบายสิ่งหมักหมมในพระวารกายออก
ครั้งที่สอง ในคราวที่พระเทวทัต กลิ้งหินหมายปลงพระชนม์พระศาสดา แต่หินกลิ้งไป ผิดทาง มีเพียงสะเก็ดหินก้อนเล็ก ๆ กระเด็นมากระทบพระบาท จนทำให้พระโลหินห้อขึ้น หมอชีวกได้ปรุงพระโอสถ พอกที่แผลแล้วใช้ผ้าพันแผลไว้ พอรุ่งขึ้นตอนเช้าแผลก็หายสนิท เป็นปกติ

นอกจากนี้ หมอชีวกยังได้ให้การรักษาพระภิกษุสงฆ์ ที่อาพาธด้วยโรคต่าง ๆ โดยไม่คิด มูลค่า จนไม่ค่อยจะมีเวลารักษาให้คนทั่ว ๆ ไป เพราะท่านหมอ มีความห่วงใยพระภิกษุสงฆ์ มากกว่า จึงเป็นเหตุให้คนบางพวก เมื่อเจ็บป่วยหรือเป็นโรคขึ้นมา ก็พากันมาบวช เพื่อสะดวกแก่ การให้หมอรักษา พอหายดีแล้วก็ลาสิกขาไป

กราบทูลขอพรห้ามบวชคนที่มีโรคติดต่อ
สมัยหนึ่ง ในพระนครราชคฤห์เกิดโรคสกปรก โรคติดต่อและโรคร้ายแรง ระบาดไป ทั่วกรุง และจังหวัดใกล้เคียง เช่น กุฏฐัง โรคเรื้อน, คัณโฑ โรคฝีดาษ, กิลาโส โรคกลาก, โสโส โรคไข้มองคร่อ, อปมาโร โรคลมบ้าหมู

ซึ่งโรคเหล่านี้ เป็นกันทั่วไปแก่ประชาชนพลเมือง ทั้งภายนอก ทั้งภายในราชสำนัก ตลอดจนพระสงฆ์ในอารามต่าง ๆ หมอทั้งหลาย ต้องทำงานกันอย่างหนัก ส่วนหมอชีวกโกมาร ภัจ ก็จะให้การรักษาแก่พระภิกษุสงฆ์ และบุคคลภายราชสำนักก่อน เนื่องจากหมอชีวกโกมาร ภัจ รักษาแล้วได้ผลหายเร็วค่ารักษาถูกกว่าหมออื่น โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์แล้วจะรักษาให้ โดยไม่คิดค่ายาค่ารักษาแต่ประการใด

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีคนคิดอาศัยพระศาสนา เพื่อเข้ามารักษาตัว โดยเข้ามาบวชเป็น พระให้หมอรักษา จนหายจากโรคที่เป็นอยู่ แล้วก็สึกออกไป และคนพวกนี้ ก็เป็นตัวนำเชื้อโรค บางอย่าง มาแพร่เชื่อติดต่อให้พระ เช่น โรคเรื้อน และโรคกลากเกลื้อน เป็นต้น จนระยะหลัง ๆ หมอชีวกสังเกตเห็นว่า คนหัวโล้นมีมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่เป็นที่น่ารังเกียจของสังคม เมื่อสอบถามดู จึงได้ทราบความจริงว่า เพิ่งสึกมาจากพระ และที่บวชก็มิได้บวชด้วยศรัทธา แต่บวชเพื่อรักษา ตัว เมื่อโรคหายแล้วก็สึกออกมา

ด้วยเหตุนี้ วันหนึ่งหมอชีวกเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลของพรว่า “ขออย่าได้บวชให้คนที่มีโรคติดต่อทั้ง ๕ ชนิดข้างต้นเลย”

พระพุทธองค์ประทานให้ตามที่กราบทูลขอ และได้ประกาศให้ภิกษุสงฆ์ทราบโดยทั่ว กัน ตั้งแต่นั้นมา คนที่เป็นโรคทั้ง ๕ ชนิดนั้น ก็ไม่สามารถบวชในพระพุทธศาสนาได้

กราบทูบขอพรให้ภิกษุรับคฤหบดีจีวรได้
หมอชีวกโกมารภัจ หลังจากที่รักษาอาการประชวร ของพระเจ้าจัณฑปัชโชตจนหาย เป็นปกติดีแล้ว ได้รับพระราชทานรางวัลเป็นผ้าเนื้อดี จากแคว้นกาสี แต่ท่านหมอคิดว่า ผ้าเนื้อ ดี อย่างนี้ ไม่สมควรที่ตนจะใช้สอย เป็นของสมควรแก่พระบรมศาสดา หรือพระมหากษัตริย์ จึงได้น้อมนำผ้านั้น ไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก่อนที่จะถวายได้กราบทูลขอพรว่า “ขอให้ ภิกษุรับคฤหบดีจีวรได้” พระพุทธองค์ประทานอนุญาตให้ตามที่ขอ

การที่หมอชีวกโกมารภัจ กราบทูลขอพรเช่นนั้น ก็เพราะแต่ก่อนนั้น ภิกษุใช้สอยแต่ ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าที่ชาวบ้านทั้งหลาย ทิ้งตามกองขยะบ้าง กองหยากเยื่อบ้าง ผ้าที่ห่อศพทิ้งในป่า บ้าง นำมาทำความสะอาด แล้วเย็บย้อมเป็นผ้าสบงจีวร สำหรับนุ่งห่ม จะไม่รับผ้าที่ชาวบ้าน ถวาย หมอชีวกโกมารภัจ เห็นความลำบากของพระภิกษุสงฆ์ ในเรื่องนี้ จึงกราบทูลขอพร และ ได้เป็นผู้ถวายเป็นคนแรก ผ้าที่ภิกษุรับอย่างนี้เรียกว่า “คฤหบดีจีวร

แม้พระพุทธองค์ จะทรงอนุญาตตามที่หมอชีวกโกมารภัจ กราบทูลขอ แต่ก็ยังมีพุทธ ดำรัสตรัสว่า “ถ้าภิกษุปรารถนาจะถือผ้าบังสุกุล ก็ให้ถือ ปรารถนาจะรับคฤหบดีรจีวร ก็ให้ รับ” และได้ตรัสสรรเสริญความสันโดษ คือความยินดีตามมีตามได้

พระพุทธองค์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนาบุญ แก่หมอชีวกผู้ถวายผ้านั้น เมื่อ จบพระธรรมเทศนาแล้ว หมอชีวกโกมารภัจ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมดำรงอยู่ในอริยภูมิ คือพระ โสดาบัน

หมอชีวกโกมารภัจ สร้างวัดชีวกัมพวัน
หมอชีวกโกมารภัจ เมื่อยามว่างเว้นจากการรักษาคนไข้ ก็หวนคิดถึงตนเอง มีความ ปรารถนาจะเข้าเฝ้า ใกล้ชิดพระบรมศาสดา อย่างน้อยวันละ ๒ เวลา เช้า-เย็น เพื่ออบรมจิตใจได้ มากขึ้น แต่วัดเวฬุวัน ก็ตั้งอยู่ห่างไกลจากบ้าน อีกทั้งไม่สะดวกในการฟังธรรม และการรักษา พยาบาลภิกษุไข้ จึงได้น้อมนำถวายสวนมะม่วง ที่พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้แก่ตนนั้น สร้างวัดถวายในพระพุทธศาสนา สร้างพระคันธกุฏี ที่ประทับส่วนพระพุทธองค์ พร้อมด้วยกุฏ สงฆ์ ศาลาฟังธรรมบ่อน้ำ และกำแพงขอบเขตวัด พร้อมบริบูรณ์ทุกสิ่งแล้ว กราบทูลอาราธนา พระบรมศาสดา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์พุทธสาวก เสด็จเข้าประทับยังพระอารามใหม่นั้น ถวาย อาหารบิณฑบาต เป็นการฉลองพระอารามแล้ว หลังน้ำทักษิโณทก ให้ตกลงบนฝ่าพระหัตถ์ของ พระบรมศาสดา กล่าวอุทิศถวาย มอบกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคาร ให้เป็นศาสนสถาน อยู่จำ พรรษาของภิกษุสงฆ์ ที่มาจากทิศทั้ง ๔ พระอารามใหม่นี้ ได้นามตามผู้ถวายว่า “ชีวกัมพวัน” (ชีวก+อัมพวัน)

พาพระเจ้าอชาตศัตรูเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
อชาตศัตรูราชกุมาร มีพระอัธยาศัย คิดทรยศไม่ซื่อตรง ขาดความจงรักภักดี ต่อพระเจ้า พิมพิสาร ผู้เป็นพระราชบิดาอยู่แล้ว ต่อมาได้คบหาสมาคมกับพระเทวทัต มีศรัทธาเลื่อมใส ได้ ให้ความอุปถัมภ์บำรุงด้วยปัจจัย ๔ ถูกพระเทวทัต ยุยงให้ปลงพระชนม์พระบิดา อีกทั้งให้การ สนับสนุนพระเทวทัต กระทำอนัตริยกรรม ลอบปลงพระชนม์พระบรมศาสดา และทำสังฆเภท ทำลายสงฆ์ให้แตกแยกกัน

ต่อมา พระเทวทัตถูกแผ่นดินสูบ เพราะกระทำกรรมหนัก พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทราบ ข่าว ก็สะดุ้งพระทัยกลัวภัยจะถึงตัว ถึงกับเสวยไม่ได้บรรทมไม่หลับ ติดต่อกันหลายวัน กลัด กลุ้มพระทัยเป็นที่สุด คืนเพ็ญวันหนึ่ง พระองค์ไม่สามารถจะนิทราหลับลงได้ จึงเรียกอำมาตย์ ทั้งหลายเข้าเฝ้ายามดึก ทรงปรึกษาว่า “คืนเดือนเพ็ญอย่างนี้ จะไปหาสมณพราหมณ์ผู้มีศีล คนดี จึงจะสามารถทำจิตใจให้สงบได้” พวกอำมาตย์ ล้วนแต่แนะนำเดียรถีย์อาจารย์ของตน ได้แก่ ครูทั้ง ๖ ซึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูก็เคยไปฟังคำสอนมาแล้ว ล้วนแต่ไร้สาระทั้งสิ้น

หมอชีวกโกมารภัจ อยู่ในที่นั้นด้วย จึงกราบทูลแนะนำให้ไปเฝ้า พระสมณโคดมบรมศาสดา ซึ่งขณะนี้พระพุทธองค์ ประทับอยู่ที่ชีวกัมพวันใกล้ ๆ บ้านของตน นี่เอง พระเจ้าอชาตศรัตรูทรงเห็นด้วย จึงเสด็จไป พร้อมด้วยกองจตุรงคเสนา เมื่อเสด็จไปถึง ได้เข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ตรัสทักทายปฏิสันถารขึ้นก่อน แล้ว ตรัสถามถึงราชกิจต่าง ๆ ทำให้พระเจ้าอชาตศรัตรูไม่เก้อเขิน และทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ พระพุทธองค์ไม่ทรงถือโทษ ในการกระทำของพระองค์ที่ผ่านมา

พระพุทธองค์ ทรงทราบว่าพระเจ้าอชาตศัตรู มีพระทัยผ่องใสดีแล้ว จึงแสดงพระธรรม เทศนา สมัญผลสูตร ให้ทรงสดับ เมื่อจบลงทรงมีพระทัยผ่องใส โสมนัสยิ่งขึ้น เกิดศรัทธา เลื่อมใสถวายตัวเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ที่พึ่งตลอดชีวิต (ถ้าพระองค์ไม่ทำ ปิตุฆาต คือ ฆ่าพระบิดาเสียก่อน ก็จะได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่งเป็นแน่) จากนั้น ได้กราบขอขมาโทษ ต่อพระพุทธองค์เสด็จกลับพระราชนิเวศน์

หมอชีวกโกมารภัจ ทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ทั่วไป เป็นอเนกประการ ท่านเป็นอุบาสก ผู้เป็นพระอริยชั้นพระโสดาบัน พระบรมศาสดา ได้ ยกย่องท่าน ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งหลาย ในฝ่ายเลื่อมใสในบุคคล

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม :
- +++ 


ย้อนกลับ ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
และ http://www.84000.org

ฟังธรรมะบรรยาย
(มากกว่า ๔,๐๐๐ ไฟล์)

อ่านพระไตรปิฎก
(คัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนา)
อ่านหนังสือธรรมะออนไลน์
(โดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง)
วิธีปฏิบัติธรรม
(ธรรมะภาคปฏิบัติ)
 

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
     จุดหมายสูงสุด ของพระพุทธศาสนา พึงบรรลุได้ด้วยความสุขหรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์
      ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ติดใจหลงไหลในความสุขที่เกิดขึ้นแก่ตน ไม่ปล่อยให้ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น ครอบงำ
        จิตใจของตน ยังมีจิตใจเป็นอิสระ สามารถก้าวหน้าไปในธรรมเบื้องสูง ต่อๆ ไป จนบรรลุความเป็นอิสระ
        หลุดพ้นโดยบริบูรณ์
      ซึ่งเมื่อบรรลุจุดหมายนั้นแล้ว ก็สามารถเสวยความสุขที่เคยเสวยมาแล้ว โดยที่ความสุขนั้น ไม่มีโอกาส
        ครอบงำจิตใจ ทำให้ติดพันหลงไหลได้เลย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป
     พุทธศาสนาคือวิชาและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งปวง มีสภาพตามที่เป็นจริง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวหรือของตัว ; แต่สัตว์ทั้งหลายยังหลงรัก หลงยึดติดสิ่งทั้งปวง เพราะอำนาจของการยึดมั่นที่ผิด ในพุทธศาสนามีวิธี ปฏิบัติเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ตัดการติดการยึดมั่นนั้นเสีย อุปาทาน การยึดมั่นนั้นมีสิ่งที่ลงเกาะหรือจับยึด คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
      เมื่อรู้จักขันธ์ทั้งห้า ตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งทั้งปวงจนถึงกับเบื่อหน่ายคลายความอยาก ไม่ยึดอะไร ติดอะไร และเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่า "เป็นอยู่ชอบ" คือให้ วันคืนเต็มไปด้วยความปีติ ปราโมทย์ อันเกิดมาจากการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดความเห็นแจ้งได้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย ความคลายออก ความหลุดพ้น และนิพพานได้ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม
      ถ้าเราจะรีบเร่งทำให้ได้ผลเร็วขึ้น ก็มีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ เริ่มตั้งแต่มี ความประพฤติบริสุทธิ์ มีใจบริสุทธิ์ มีความเห็นบริสุทธิ์ เรื่อยขึ้นไปจนถึงมีปัญญา คือความเห็นแจ้งบริสุทธิ์ ในที่สุดก็จะตัดกิเลสที่ผูกมัดคนให้ติดอยู่กับวิสัยโลกออกเสียได้ เรียกว่า การบรรลุมรรคผล
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คู่มือมนุษย์



สงวนลิขสิทธิ์โดย ธรรมะพีเดีย.คอม
เว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา โดยไม่มุ่งหวังผลทางพาณิชย์
อนุญาตให้นำไปเผยแผ่เพื่อสืบต่อพุทธศาสนาได้ตามกุศลเจตนา

www.thammapedia.com
( ศูนย์เผยแผ่พระพุทธธรรม )
Copyright © 2008 ALL RIGHTS RESERVED
 
 
หน้าหลัก