หน้าหลัก พระสงฆ์ ตำแหน่งเอตทัคคะ พระเรวตขทิรวนิยเถระ
Search:

“ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ ...
สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ
..ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ ผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรอัญชลีกรรม เป็นนาบุญของโลก

หนังสือ พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์
รองศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม

หน้าแรก : หมวดพระสงฆ์
๒๖. พระเรวตขทิรวนิยเถระ เอตทัคคะในทางผู้อยู่ป่า

พระเรวตขทิรวนิยะ เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อวังคันตะ มารดาชื่อนางสารี ในหมู่บ้านอันตั้งอยู่ใน ตำบลนาลันทา แคว้นมคธ ซึ่งบิดาของท่าน เป็นนายบ้าน หรือหัวหน้าหมู่บ้านนั้น ท่านเป็นน้องชายอีกคนสุดท้องของพระสารีบุตรเถระ เดิมชื่อว่า เรวัตะ

๗ ขวบ ได้แต่งงาน
เมื่อท่านอยู่ในวัยเด็ก อายุประมาณ ๗-๘ ขวบเท่านั้น บิดามารดาของท่าน ได้ปรึกษากันว่า:- “บุตรธิดาของเราออกบวชไปแล้ว ๖ คน ยังเหลือเรวตะเพียงคนเดียว ถ้าเรวตะ ออก บวชอีก ก็จะไม่มีผู้ใดสืบทอดวงศ์ตระกูล เราควรผูกมัดเราวตะ ไว้ด้วยการให้มีภรรยา รับผิด ชอบต่อครอบครัวเสียแต่ในวัยเด็กนี้ จะดีกว่า ถ้าปล่อยไว้อาจถูกพระสงฆ์พุทธสาวก พาไปบวช อีก"

เมื่อปรึกษา และมีความเห็นชอบตรงกันแล้ว จึงจัดการสู่ขอนางกุมาริกา ผู้มีฐานะชาติ ตระกูลเสมอกัน แล้วกำหนดวันวิวาหมงคล ครั้นเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ และถึงกำหนด นัดวันวิวาห์แล้ว ขณะทำพิธีแต่งงาน ญาติมิตรต่างทยอยกันเข้าหลั่งน้ำ และกล่าวคำอวยพรคู่บ่าว สาว ตามประเพณีนั้น มีญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว เป็นคุณยายอายุประมาณ ๑๒๐ ปี กล่าวคำ อวยพรให้เจ้าบ่ายเจ้าสาว ปรองดองครองรักกันยาวนาน มีอายุยืนยาวเหมือนคุณยายนี้

เรวตะได้ฟังคำอวยพร และเห็นคุณยายร่างกายแก่หง่อม หลังค่อมโกง ผิวตกกระ งก ๆ เงิ่น ๆ หาความงามอันเป็นที่เจริญจิต เจริญใจมิได้เลย แล้วหวนคิดเปรียบเทียบ กับเจ้าสาวของตน ซึ่งจะมีสภาพร่างกายเหมือนคุณยายนี้ จึงเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที และเริ่มคุ่นคิดหาวิธี เพื่อหลีกหนีชีวิตครอบครัวฆราวาส และมองเห็นว่าวิธีเดียวที่จะพ้นได้ ก็คือต้องออกบวชเหมือนพี่ ๆ จึงจะพ้นได้

หนีเมียบวช
ดังนั้น ขณะที่ท่านนั่งอยู่บนยานพาหนะ เดินทางไปสู่เรือนหอนั้น ท่านได้แสดงอาการว่า ท้องเสีย ขอตัวเพื่อลงไปถ่ายท้องในป่าข้างทาง ครั้งแรก ๆ บิดามารดาได้สั่งให้คนคอยติดตามดู เพราะกลัวว่าจะหนี เรวตะ เห็นว่ามีคนคอยติดตามดูอยู่ จึงกลับมาด้วยดี บิดามารดาและคนคอย ติดตาม ก็เชื่อว่าคงจะท้องเสียจริง ๆ จึงเลิกติดตามเรวตะ จึงได้โอกาสหนีไปได้สำเร็จ และได้พบ สำนักพระภิกษุผู้อยู่ในป่า จึงเข้าขอบรรพชาในสำนักของท่าน

ส่วนพระภิกษุรูปนั้นพอทราบว่า เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ก็รีบจักการบวชให้ทันที โดยไม่ต้องขออนุญาตบิดามารดาก่อน เพราะพระสารีบุตรเถระ ได้สั่งไว้ว่า “ถ้าพบน้องชายของเรา ให้บวชได้ทันที” เนื่องจากถ้าไปขออนุญาตบิดามารดา ก็จะไม่ได้บวช เพราะบิดามารดาของท่านเป็นมิจฉาทิฏฐิ

พระสารีบุตรเถระ ได้ทราบข่าวว่า เรวตะน้องชายบวชแล้ว คิดจะไปเยี่ยม จึงกราบทูลลา พระผู้มีพระภาค ถึง ๒ ครั้ง พระพุทธองค์ตรัสห้ามยับยั้งไว้ ส่วนสามเณรเรวตะ คิดว่า ถ้าอยู่ใน สำนักของพระอุปัชฌาย์นี้ต่อไป บรรดาญาติ ๆ ทั้งหลาย อาจจะตามมาพบ และนำตัวเรากลับไปก็ ได้ จึงเรียนกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์นั้นแล้ว ได้ลาไปบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานในป่าไม้ ตะเคียน (ขทิรวนิยะ) ระยะทางไกลออกไปประมาณ ๓๐ โยชน์ ปฏิบัติอยู่ ๓ เดือน ก็ได้บรรลุ พระอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เป็นพระอรหันต์ในพรรษานั้น เพราะท่านอยู่ในป่า ไม้ตะเคียนเป็นเวลานาน จึงได้นามใหม่ว่า “พระเรวตขทิรวนิยเถระ

พระพุทธองค์เสด็จเยี่ยม
เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว พระสารีบุตรเถระกราบทูลลา พระบรมศาสดาเพื่อไปเยี่ยม พระเรวตะ อีกครั้ง พระบรมศาสดารับสั่งว่า จะเสด็จไปด้วย และรับสั่งให้แจ้งแก่ภิกษุทั้งหลาย ประมาณ ๕๐๐ รูปเตรียมเดินทางไปด้วยกัน

เมื่อพระบรมศาสดา พร้อมด้วยหมู่ภิกษุบริวาร เสด็จดำเนินมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระ อานนท์เถระกราบทูลว่า:-
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาร ทางไปสำนักของพระเรวตะ นั้น ทางนี้เป็นทางอ้อมประมาณ ๖๐ โยชน์ เป็นที่อยู่ของมนุษย์ สะดวกแก่การภิกขาจาร ส่วนอีกทางหนึ่งเป็นทางตรง ประมาณ ๓๐ โยชน์ แต่เป็นถิ่นที่อยู่ของอมนุษย์ พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร พระเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาค ตรัสถามพระอานนท์เถระว่า:-
“อานนท์ พระสีวลีมากับพวกเราหรือเปล่า ?”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสีวลีมาด้วยพระเจ้าข้า”
“อานนท์ ถ้าอย่างนั้น ก็จงไปทางตรงนั่นแหละ”

การที่พระพุทธองค์ทรงรับสั่งอย่างนั้น ก็เพราะพระองค์ทรงทราบว่า เทวดาทั้งหลายใน ระหว่างหนทางนั้น จะพากันจัดที่พัก และอาหารบิณฑบาตถวายพระสีวลี ผู้เป็นที่เคารพนับถือ ของพวกตน บรรดาพระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธองค์เป็นประมุขก็จะไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร และ สถานที่พัก ด้วยอาศัยบุญของพระสีวลีนั้น

เมื่อพระบรมศาสดา พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์บริวารเหล่านั้น เสด็จมาใกล้จะถึงแล้ว พระ เรวตะแสดงฤทธิ์ เนรมิตป่าเป็นพระคันธกุฎี สำหรับพระผู้มีพระภาค และเนรมิตสถานที่จงกรม พร้อมด้วยสถานที่พักกลางคืน และกลางวัน เพื่อความสะดวกและผาสุกแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่ตาม เสด็จมาด้วยอีกอย่างละ ๕๐๐ แห่ง แล้วออกไปถวายการต้อนรับ นำเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฏี พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ ที่นั้นพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เป็นเวลา ๑ เดือน จึงเสด็จกลับ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับแล้ว พระเรวตเถระจึงคลายฤทธิ์ สถานที่นั้นก็กลับกลายเป็นสภาพ ป่าไม้ตะเคียนตามเดิม

พระหลวงตานินทาพระเรวตะ
ในขณะที่พระพุทธองค์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์พักที่ป่าไม้ตะเคียนนั้น มีพระชรา ๒ รูป ร่วม คณะอยู่ด้วย ท่านทั้งสองนั่งสนทนากันว่า
“พระเรวตะ ทำการก่อสร้างอารามยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ จะมีเวลาบำเพ็ญสมณธรรมได้ อย่างไร แม้แต่พระเชตวันกับพระเวฬุวัน ก็ยังสู้อารามนี้ไม่ได้ พระผู้มีพระภาคคงจะเห็นแก่หน้า ว่าเป็นน้องชายของพระสารีบุตรอัครสาวก จึงเสด็จมาเยี่ยม”

พระผู้มีพระภาค ทรงทราบวารจิตของพระชราทั้ง ๒ รูป นั้นด้วย และทรงดำริว่า “ถ้าอยู่ นาน ก็จะเป็นการรบกวนพระเรวตะ เพราะปกติพระภิกษุผู้อยู่ป่า ย่อมต้องการความสงบ” ดังนั้น ด้วยเหตุนี้ จึงเสด็จกลับ พร้อมกันนั้น ได้ทรงอธิษฐานให้พระหลวงตาทั้ง ๒ รูป ลืมของใช้ส่วนตัวไว้

เมื่อตามเสด็จออกมาพ้นเขตอารามแล้ว พระพุทธองค์จึงคลายฤทธิ์อธิษฐาน พระภิกษุชราทั้ง ๒ รูป พอนึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ จึงพากันรีบกลับไปเอา แต่ทว่าคราวนี้ สภาพหนทาง และกุฏีที่พักอาศัย หายไป ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นป่าไปหมด พบของ ตนแขวนอยู่ที่ต้นตะเคียนบ้าง อยู่บนตอตะเคียนบ้าง สร้างความประหลาดใจแก่หลวงตาทั้งสอง เป็นอย่างยิ่ง

ด้วยเหตุนี้ ที่พระเรวตเถระอยู่ในป่าไม้ตะเคียนเป็นเวลานาน ท่านได้รับยกย่องจากพระ บรมศาสดา ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้อยู่ป่า

ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม :
- ประวัติพระเรวตขทิรวนิยเถระ หนึ่งในอสีติมหาสาวก (พระมหาสาวก ๘๐)


ย้อนกลับ ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
และ http://www.84000.org

ฟังธรรมะบรรยาย
(มากกว่า ๔,๐๐๐ ไฟล์)

อ่านพระไตรปิฎก
(คัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนา)
อ่านหนังสือธรรมะออนไลน์
(โดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง)
วิธีปฏิบัติธรรม
(ธรรมะภาคปฏิบัติ)
 

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
     จุดหมายสูงสุด ของพระพุทธศาสนา พึงบรรลุได้ด้วยความสุขหรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์
      ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ติดใจหลงไหลในความสุขที่เกิดขึ้นแก่ตน ไม่ปล่อยให้ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น ครอบงำ
        จิตใจของตน ยังมีจิตใจเป็นอิสระ สามารถก้าวหน้าไปในธรรมเบื้องสูง ต่อๆ ไป จนบรรลุความเป็นอิสระ
        หลุดพ้นโดยบริบูรณ์
      ซึ่งเมื่อบรรลุจุดหมายนั้นแล้ว ก็สามารถเสวยความสุขที่เคยเสวยมาแล้ว โดยที่ความสุขนั้น ไม่มีโอกาส
        ครอบงำจิตใจ ทำให้ติดพันหลงไหลได้เลย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป
     พุทธศาสนาคือวิชาและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งปวง มีสภาพตามที่เป็นจริง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวหรือของตัว ; แต่สัตว์ทั้งหลายยังหลงรัก หลงยึดติดสิ่งทั้งปวง เพราะอำนาจของการยึดมั่นที่ผิด ในพุทธศาสนามีวิธี ปฏิบัติเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ตัดการติดการยึดมั่นนั้นเสีย อุปาทาน การยึดมั่นนั้นมีสิ่งที่ลงเกาะหรือจับยึด คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
      เมื่อรู้จักขันธ์ทั้งห้า ตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งทั้งปวงจนถึงกับเบื่อหน่ายคลายความอยาก ไม่ยึดอะไร ติดอะไร และเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่า "เป็นอยู่ชอบ" คือให้ วันคืนเต็มไปด้วยความปีติ ปราโมทย์ อันเกิดมาจากการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดความเห็นแจ้งได้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย ความคลายออก ความหลุดพ้น และนิพพานได้ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม
      ถ้าเราจะรีบเร่งทำให้ได้ผลเร็วขึ้น ก็มีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ เริ่มตั้งแต่มี ความประพฤติบริสุทธิ์ มีใจบริสุทธิ์ มีความเห็นบริสุทธิ์ เรื่อยขึ้นไปจนถึงมีปัญญา คือความเห็นแจ้งบริสุทธิ์ ในที่สุดก็จะตัดกิเลสที่ผูกมัดคนให้ติดอยู่กับวิสัยโลกออกเสียได้ เรียกว่า การบรรลุมรรคผล
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คู่มือมนุษย์



สงวนลิขสิทธิ์โดย ธรรมะพีเดีย.คอม
เว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา โดยไม่มุ่งหวังผลทางพาณิชย์
อนุญาตให้นำไปเผยแผ่เพื่อสืบต่อพุทธศาสนาได้ตามกุศลเจตนา

www.thammapedia.com
( ศูนย์เผยแผ่พระพุทธธรรม )
Copyright © 2008 ALL RIGHTS RESERVED
 
 
หน้าหลัก